แก้ไขสภาวะมีบุตรยาก ด้วยการฉีดผสมเทียม IUI

iuiคือ

หลายคู่ประสบปัญหามีลูกยาก พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเสียที จึงหันมาพึ่งวิธีทางการแพทย์ การผสมเทียม IUI เป็นวิธีแรกๆ ที่แพทย์แนะนำ และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากมีขั้นตอนที่ง่ายและซับซ้อนน้อยกว่าการทำเด็กหลอดแก้วอย่าง ICSI หรือ IVF  

สำหรับใครที่สนใจแต่ยังมีข้อสงสัยว่า การทำ IUI คืออะไร? เหมาะสำหรับใคร? มีขั้นตอนการทำอย่างไร? รวมถึงมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง?

IUI คืออะไร?

IUI หรือ Intra-Uterine Insemination คือการผสมเทียมผ่านการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปยังโพรงมดลูกโดยตรง แพทย์จะเลือกใช้อสุจิที่แข็งแรงจำนวนมากฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกช่วงไข่ตก เพื่อให้อสุจิสามารถว่ายไปปฏิสนธิกับรังไข่ได้โดยตรง โดยจะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงเพื่อลดอัตราการตายของอสุจิ ช่วยให้อสุจิผสมกับรังไข่ได้ง่ายขึ้น เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ ใกล้เคียงวิธีทางธรรมชาติ

การผสมเทียมแบบ IUI เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ได้ราว 10 – 15% เมื่อเทียบกับการทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF หรือ ICSI แล้ว แม้จะมีโอกาสในการตั้งครรภ์ที่น้อยกว่า แต่ IUI ก็เป็นวิธีการผสมเทียมที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ ทำให้เจ็บตัวน้อยกว่าวิธีดังที่กล่าวไปข้างต้น ซับซ้อนน้อยกว่ารวมถึงมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าด้วยเช่นกัน

ทำไมถึงต้องทำ IUI?

ทำiui

การทำ IUI สามารถแก้ปัญหามีลูกยากที่สาเหตุเกิดจากอสุจิไม่สามารถวิ่งไปถึงรังไข่ได้ ทำให้น้ำเชื้อว่ายไปถึงรังไข่ ร่วมกับการกำหนดวันฉีดน้ำเชื้อให้ตรงกับวันที่ไข่ตกอย่างแม่นยำ เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากกว่าวิธีทางธรรมชาติ

จากการที่ปากมดลูกแคบกว่าช่องคลอด ร่วมกับสภาวะเป็นกรดของช่องคลอด ทำให้ในการหลั่งน้ำเชื้อ 1 รอบของผู้ชาย จากที่ควรมีอสุจิอยู่ที่ราว 200 ล้านตัว เมื่อผ่านเข้าสู่ช่องคลอด เชื้ออสุจิช่วงใหญ่จะอ่อนแรง ตาย ไม่สามารถว่ายไปถึงรังไข่ที่อยู่สุดปลายท่อรังไข่ได้ เชื้ออสุจิจาก 200 ล้านตัวจึงเหลือที่ไปถึงไข่เพียง 200 – 500 ตัวเท่านั้น

และหากอสุจิของฝ่ายชายมีปัญหาด้านความแข็งแรง ปริมาณ ความเข้มข้น และการเคลื่อนที่ จำนวนอสุจิที่สามารถเข้าไปถึงไข่ได้จะยิ่งมีจำนวนลดลงกว่าเดิมมาก จนทำให้อสุจิไม่สามารถไปถึงรังไข่และฝ่ายหญิงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

การทำ IUI เป็นหนึ่งในหนทางแก้ไขปัญหาดังที่กล่าวไปข้างต้น เนื่องจากเป็นการทำให้น้ำเชื้อเข้มข้นขึ้น คัดเลือกเพียงน้ำอสุจิที่แข็งแรงและสมบูรณ์ และฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง อสุจิที่แข็งแรงจะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ประกอบกับการฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรงช่วยร่นระยะทาง เพิ่มอัตราการปฏิสนธิที่รังไข่ได้มากขึ้น นอกจากการคัดเลือกอสุจิแล้ว แพทย์ยังกำหนดวันฉีดน้ำเชื้อให้ตรงกับวันที่ไข่ของฝ่ายหญิงจะตกอีกด้วย ทำให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่ก่อนที่ไข่จะฝ่อไป

การทำ IUI เหมาะกับ

  • ฝ่ายชายที่
    • น้ำเชื้อของตนมีปัญหา เช่น มีความเข้มข้นน้อย มีปริมาณน้ำเชื้อน้อย อสุจิมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนที่หรือแข็งแรงไม่พอ
    • มีเชื้ออสุจิที่เคลื่อนที่ได้ดีมากกว่า 5 ล้านตัวขึ้นไป ถึงจะเพียงพอต่อการทำ IUI
  • ฝ่ายหญิงที่
    • ควรอายุน้อยกว่า 30 ปี เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะเกิดภาวะมดลูกเสื่อม
    • มีปัญหาเกี่ยวกับอุ้งเชิงกราน เช่น ปากมดลูกหรือคอมดลูกตีบ (Cervical stenosis) เป็นเหตุให้อสุจิเคลื่อนที่เข้าโพรงมดลูกลำบาก
    • มีภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรังจากความผิดปกติต่างๆ เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS)
    • ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่สม่ำเสมอ
    • ต้องการตั้งครรภ์ด้วยน้ำเชื้อที่แช่แข็งไว้ (Frozen sperm)
    • ต้องการตั้งครรภ์ แต่ไม่ประสงค์ที่จะมีเพศสัมพันธ์
    • แพ้น้ำเชื้อ (Semen allergy) ช่องคลอดแดงหรือระคายเคืองเมื่อสัมผัสน้ำเชื้อ
    • ท่อนำไข่ปกติทั้ง 2 ข้าง หรืออย่างน้อยต้องดีข้างใดข้างหนึ่ง

การทำ IUI ยังสามารถใช้ แก้ไขภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ (Unexplained infertility) ได้ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาการมีบุตรยากเบื้องต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะทำ IUI ฉีดยากระตุ้นไข่ตก และฉีดน้ำเชื้อผสมเทียมในวันที่ไข่ตกพอดี

การทำ IUI ไม่เหมาะกับ

  • ฝ่ายหญิงที่ท่อนำไข่ไม่ปกติ ปีกมดลูกอุดตันทั้ง 2 ข้าง ทำให้อสุจิไม่สามารถเข้าถึงไข่ได้
  • ฝ่ายหญิงที่มีพังผืดในอุ้งเชิงกรานจากภาวะเยื่อมดลูกเจริญผิดที่ระดับรุนแรง
  • ฝ่ายชายไม่สามารถหลั่งน้ำเชื้อได้
  • ฝ่ายชายมีน้ำเชื้อน้อยกว่า 1 ล้านตัว
  • ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง หรือทั้งสองฝ่าย ผ่านการทำหมันมาแล้ว
  • เคยฉีดน้ำเชื้อมาแล้วมากกว่า 3 – 6 รอบ แล้วยังไม่ประสบผลสำเร็จ
  • มีแนวโน้มที่ตัวอ่อนจะเกิดโรคทางพันธุกรรม

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยากมีลูก แต่ไม่สามารถทำ IUI ได้ แพทย์จะพิจารณาการผสมเทียมรูปแบบอื่น เช่น แนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธีการทำ ICSI หรือที่เรียกว่าอิ๊กซี่ และทำ IVF แทน การผสมเทียมแบบ ICSI และ IVF ไม่อาศัยท่อนำไข่ ท่อนำน้ำเชื้อ 

วิธีที่ให้ผลการรักษาสูงที่สุด มีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุดคือ ICSI ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกวิธีแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยากที่เหมาะสำหรับคู่ตัวเองที่สุด

โอกาสตั้งครรภ์สำเร็จหลังทำ IUI มีมากน้อยเพียงใด?

โอกาสในการตั้งครรภ์สำเร็จหลังทำ IUI อยู่ที่ 10 – 15% เพิ่มจากวิธีปกติประมาณ 5-6 เท่า ทั้งนี้ โอกาสตั้งครรภ์สำเร็จหลังทำ IUI ขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องคุณภาพอสุจิของฝ่ายชายและความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงในวันที่ฉีดน้ำเชื้อ และใช้เชื้ออสุจิปริมาณน้อย และสามารถตรวจโรคทางพันธุกรรมได้ก่อนการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

ข้อดีของการทำ IUI

  1. เป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด 
  2. ไม่เจ็บตัวเท่ากับการทำเด็กหลอดแก้ว
  3. ราคาไม่แพงเท่าการทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF หรือ ICSI
  4. สามารถเลือกระยะเวลาการตั้งครรภ์ได้ตามต้องการ จากการใช้น้ำเชื้อแช่แข็งที่ฝากไว้ เหมาะสำหรับครอบครัวที่ฝ่ายชายหญิงไม่ได้อยู่ด้วยกัน ให้สามารถวางแผนการมีบุตรของครอบครัวได้
  5. ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยากระตุ้นในบางกรณี

ข้อจำกัดการทำ IUI

  1. อาจเกิดการติดเชื้อในขั้นตอนการทำ IUI อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อนี้พบได้น้อยมาก
  2. มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด ตั้งครรภ์ลูกแฝด เสี่ยงแท้ง จากการฉีดยากระตุ้นไข่ตกอาจทำให้ไข่ตกมากกว่า 1 ฟอง
  3. อาจเกิดการระคายเคือง ไม่สบายตัว หรือเลือดออกเล็กน้อย จากสายสวนขนาดเล็กที่สอดเข้าช่องคลอดในการฉีดน้ำอสุจิ แต่ไม่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

การเตรียมตัวก่อนทำ IUI

การเตรียมตัวก่อนทำiui

ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ หรือการผสมเทียมแบบ IUI, IVF และ ICSI แพทย์จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับการใช้วิตามินบำรุง เพื่อให้ได้ไข่และน้ำเชื้อที่มีคุณภาพสูง และช่วยลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ลดโอกาสเกิดความผิดปกติต่างๆ ในทารกได้ด้วย การเตรียมตัวก่อนทำ IUI สามารถปฏิบัติได้ตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้

1. ปรับเปลี่ยน Lifestyle 

1.1 ทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ทานผักผลไม้และอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน หลีกเลี่ยงจำพวกไขมัน แป้ง น้ำตาล และอาหารแปรรูป

1.2 ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องครั้งละ 30 – 45 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 – 4 ครั้ง โดยเน้นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio Exercise) ที่ช่วยให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย รวมถึงรังไข่และลูกอัณฑะ

1.3 พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับวันละ 6 -7 ชั่วโมง และหากเป็นไปได้ควรนอนก่อน 5 ทุ่ม เพราะเวลาหลังจากนั้นจะเป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนซ่อมแซมตัวเอง

1.4 หากิจกรรมคลายเครียด พยายามเครียดให้น้อยที่สุด เพราะความเครียดอาจทำให้ฮอร์โมนผิดปกติได้

2. ทานวิตามินหรืออาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์

อาหารเสริมจะช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และยังช่วยแก้ปัญหาสาเหตุการมีบุตรยากได้ตามกรณี โดยควรทานวิตามินและอาหารเสริมตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น อาหารเสริมที่แพทย์แนะนำ เช่น

  • อาหารเสริมสำหรับฝ่ายหญิง
    • กรดโฟลิค (Folic acid) – ช่วยลดความผิดปกติเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองของทารก
    • แอสตาแซนทีน (Astaxanthin), โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10), วิตามินซี (Vitamin C) และ วิตามินอี (Vitamin E) – ช่วยเพิ่มคุณภาพของไข่
  • อาหารเสริมสำหรับฝ่ายชาย
    • แอสตาแซนทีน (Astaxanthin), โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10), และสังกะสี (Zinc) – ช่วยเพิ่มคุณภาพและความเข้มข้นของน้ำเชื้อ จำเป็นอย่างมากต่อการผสมเทียบแบบ IUI

หลังจากเตรียมตัวเบื้องต้นด้วยตัวเองแล้ว การเตรียมตัวในลำดับถัดไปจะเป็นการเตรียมตัวทางการแพทย์ โดยการตรวจโรคต่างๆ ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ตรวจเลือด ตรวจคุณภาพน้ำเชื้อของฝ่ายชายว่ามีความเหมาะสมต่อการทำ IUI หรือไม่

การเตรียมตัวสำหรับฝ่ายหญิง

  1. ตรวจเลือดชุดฝากครรภ์และโรคติดเชื้อ (Routine Blood work for female) ประกอบไปด้วย
    1. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count หรือ CBC)
    2. ตรวจหมู่เลือด (Blood group and Rh group)
    3. ตรวจเชื้อ HIV (Anti HIV)
    4. ตรวจเชื้อซิฟิลิส (Venereal   Disease  Research  Laboratory test หรือ VDRL)
    5. ตรวจไวรัสตับอักเสบ (HBsAg และ Anti HCV)
    6. ตรวจโรคหัดเยอรมัน (Rubella IgG)
    7. ตรวจโรคธาลัสซีเมีย (Hemoglobin typing)
  2. ตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound หรือ TVS)
  3. ตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด (Hormone Blood Tests) โดยตรวจ
    1. Estradiol (E2)
    2. Follicle Stimulating Hormone (FSH)
    3. Prolactin
    4. Luteinizing Hormone (LH)
    5. Anti-Mullerian Hormone (AMH)

การเตรียมตัวสำหรับฝ่ายชาย

  1. ตรวจเลือดทั่วไป พร้อมโรคต่างๆ (Routine Blood work for male) ดังนี้
    1. ตรวจเชื้อ HIV (Anti HIV)
    2. ตรวจเชื้อซิฟิลิส (Venereal   Disease  Research  Laboratory test หรือ VDRL)
    3. ตรวจไวรัสตับอักเสบ (HBsAg และ Anti HCV)
  2. ตรวจคุณภาพน้ำเชื้อ (Sperm Count) ว่ามีความแข็งแรง มีปริมาณมากพอหรือไม่ 
  3. ข้อควรปฏิบัติก่อนการเก็บอสุจิ
    1. เว้นจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการหลั่งน้ำเชื้อเป็นเวลา 3 – 5 วัน ก่อนการเก็บน้ำเชื้อ
    2. พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ไม่ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
    3. งดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
    4. ทำความสะอาดมือและอวัยวะเพศให้สะอาดก่อนการเก็บน้ำเชื้อ

ขั้นตอนการทำ IUI

1. แพทย์จะกระตุ้นไข่ฝ่ายหญิง เมื่อเริ่มมีประจำเดือนในวันที่ 2-3 ของรอบเดือน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือน โดยใช้ 

  1. ยาสำหรับกระตุ้นไข่ เพื่อขยายขนาดของไข่ ให้เหมาะสมกับการผสมเทียมแบบ IUI ยาสำหรับกระตุ้นไข่จะเป็นฮอร์โมน มีให้เลือกทั้งแบบเม็ดและแบบรับประทาน แพทย์จะเป็นคนกำหนดว่ากระตุ้นเพียงครั้งเดียว หรือมากกว่าหนึ่งครั้ง รวมถึงตัวยาที่เลือกใช้ เช่น Femara, Glucophage, และ Puregon เป็นต้น
  2. ยาสำหรับกระตุ้นให้ไข่ตก ฉีดเมื่อไข่มีขนาดที่เหมาะสม สังเกตผ่านอัลตราซาวน์ แพทย์จะเริ่มติดตามตั้งแต่วันที่ 12 หลังจากเริ่มมีประจำเดือน ตัวยากระตุ้นไข่ให้ตกจะเป็นฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ตัวอย่างยา เช่น HCG, Ovidrel, และ Diphereline เป็นต้น

เมื่อระบุวันที่ไข่จะตกได้แล้ว แพทย์จะนัดหมายวันฉีดเชื้อผสมเทียมในลำดับต่อไป

2. แพทย์จะนัดหมายให้ฝ่ายชายหญิงมาเพื่อเก็บน้ำเชื้อ และผสมเทียม หลังจากฉีดยาสำหรับกระตุ้นให้ไข่ตก 1 – 2 วัน ทั้งนี้ หากต้องการตั้งครรภ์โดยใช้เชื้ออสุจิแช่แข็ง ไม่จำเป็นที่ฝ่ายชายจะต้องมาพบแพทย์ในวันดังกล่าว

3. แพทย์จะให้ฝ่ายชายทำการหลั่งด้วยตัวเองสำหรับการเก็บน้ำเชื้อเพื่อผสมเทียม IUI น้ำเชื้อที่ได้รับจะผ่านกระบวนการทำความสะอาด และคัดเลือกเพียงอสุจิตัวที่แข็งแรงและสมบูรณ์เท่านั้น จนได้น้ำเชื้อที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ขั้นตอนนี้ใช้เวลาราว 1 – 2 ชั่วโมง

4. หลังจากได้รับน้ำเชื้อ แพทย์จะฉีดน้ำเชื้อที่ผ่านการทำความสะอาดและคัดเลือกเข้าสู่โพรงมดลูกของฝ่ายหญิงโดยตรง ระยะเวลาในการฉีดอยู่ที่ 20 – 30 นาที เนื่องจากไม่มีการใช้ยาสลบในขั้นตอนนี้ ฝ่ายหญิงจึงอาจรู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองจากเครื่องมือฉีดได้ อย่างไรก็ตาม อาการจะดีขึ้นและหายไปเอง  

ขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังทำ IUI

อาการหลังฉีดเชื้อแล้วท้อง

การปฏิบัติตัวเบื้องต้นหลังจากการฉีดผสมเทียม IUI ในช่วงแรก ฝ่ายหญิงควรนอนนิ่งๆ ขยับตัวให้น้อยที่สุด เพื่อให้น้ำเชื้อเคลื่อนไปยังท่อนำไข่ได้ดีกว่าเดิม ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้น

สิ่งที่ห้ามทำหลังฉีดเชื้อ IUI คือ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันไม่ให้มดลูกถูกรบกวน และช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวได้ดีขึ้น แต่หลังผ่านไป 2-3 วัน สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้ยังช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้อีกด้วย

ในกรณีที่ฝ่ายหญิงรู้สึกเจ็บบริเวณช่องคลอดเป็นเวลานานหลังทำ IUI หรือพบอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุอาการ เพื่อตรวจสอบภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ควรลองตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเองหลังฉีดเชื้อไปแล้วประมาณ 2 อาทิตย์ เพราะเป็นช่วงที่เร็วที่สุดที่สามารถตรวจสอบการตั้งครรภ์ได้อย่างแม่นยำ ไม่ควรตรวจก่อนระยะนี้เพราะอาจได้ผลที่คลาดเคลื่อน

ทั้งนี้ แม้ตั้งครรภ์แล้วก็อาจตรวจไม่พบการตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่บ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ยังไม่เพิ่มระดับมากพอที่ที่ตรวจจะตรวจพบได้ ในทางกลับกัน อาจตรวจพบว่าตั้งครรภ์แม้ไม่ได้ตั้งครรภ์เช่นเดียวกัน เนื่องจากชุดตรวจครรภ์อาจแจ้งผลผิดพลาดได้จากระดับฮอร์โมน HCG ที่ฉีดเพื่อให้ไข่ตกยังไม่ลดลง 

หลังจากตรวจการตั้งครรภ์แล้ว แพทย์จะนัดหมายให้มาตรวจเลือดที่โรงพยาบาลอีกรอบ เพื่อตรวจสอบการตั้งครรภ์ให้แม่นยำโดยการตรวจระดับฮอร์โมน ซึ่งมีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจด้วยชุดตรวจทั่วไปที่ตรวจจากปัสสาวะ

ในกรณีที่ไม่เกิดการตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้ทำ IUI ซ้ำอีกราว 3 – 6 รอบ หลังจากนั้นหากยังตั้งครรภ์ไม่สำเร็จอีก แพทย์จะพิจารณาการทำเด็กหลอดแก้ว IVF หรือ ICSI ในอันดับต่อไป

ค่าใช้จ่ายในการทำ IUI ราคาเท่าไหร่?

ค่าทำ IUI ราคารวมทั้งโปรแกรมจะอยู่ที่ประมาณ 22,644 – 33,817 บาท โดยค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับตัวยากระตุ้นไข่ที่ใช้ตามดุลพินิจของแพทย์ ตัวเลือกการแช่แข็งเชื้ออสุจิหากต้องการตั้งครรภ์โดยใช้น้ำเชื้อแช่แข็ง และจำนวนครั้งที่พบแพทย์ 

หากสนใจการทำ IUI สามารถเข้ามาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอชเพื่อปรึกษา รวมถึงพิจารณาวิธีการแก้ไขภาวะมีบุตรยาก ที่เหมาะสมกับคู่สมรสแต่ละคู่ได้

ดูรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการทำ IUI เพิ่มเติม : รายละเอียด Package การทำ IUI

คำถามเกี่ยวกับการทำ IUI ที่พบบ่อยจากคนไข้

1. IUI มีความเสี่ยงที่เด็กจะเป็นพิการหรือไม่

ตอบ: การทำ IUI เพิ่มโอกาสตั้งท้องไข่หลายใบได้ จากการขั้นตอนการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกได้มากกว่า 1 ฟอง มีโอกาสเกิดการปฏิสนธิกับไข่ทั้งสองใบหรือมากกว่านั้น จนเกิดครรภ์แฝด ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ท้องแฝดย่อมมีความเสี่ยงแท้ง คลอดก่อนกำหนด และทารกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ซึ่งอันตรายกว่าครรภ์ปกติ ยิ่งท้องลูกแฝดเยอะ ความเสี่ยงก็จะยิ่งเยอะตาม 

2. การทำ IUI สามารถมีลูกแฝดได้ไหม?

ตอบ: การทำ IUI มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ท้องแฝดได้ อย่างไรก็ตาม จะไม่สามารถควบคุมให้เกิดอย่างเฉพาะเจาะจงได้ กล่าวคือ ไม่สามารถทำ IUI เพื่อให้ได้ลูกแฝดได้ เพียงแต่มีโอกาสที่จะเกิดลูกแฝด โดยมีโอกาสเกิดได้ทั้งแฝดไข่คนละใบและแฝดไข่ใบเดียวกัน เพราะในการฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตก มีโอกาสไข่ตกมากกว่า 1 ฟอง และเกิดการปฏิสนธิได้ สำหรับแฝดไข่ใบเดียวกัน มีโอกาสเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ

3. การทำ IUI สามารถ สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกได้เลยหรือไม่

ตอบ: การทำ IUI มีโอกาสที่จะสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ เนื่องจากมีการทานยาและฉีดฮอร์โมนกระตุ้นร่วมด้วย ทำให้มีปริมาณฟองไข่เพิ่มมากขึ้น คุณภาพไข่ดียิ่งขึ้น ในการทำ IUI หนึ่งรอบจะเพิ่มฟองไข่จากธรรมชาติ 1 ฟองเป็น 2-3 ฟอง และมีอัตราการสำเร็จในการทำ IUI เพิ่มมากกว่าธรรมชาติถึง 5-6 เท่าตัว อย่างไรก็ตาม หากทำ IUI ไม่สำเร็จในครั้งแรก สามารถฉีดเชื้อ IUI ซ้ำประมาณ 3 – 6 ครั้ง แต่หากยังไม่สำเร็จ ควรพิจารณาทำ IVF หรือ ICSI

4. ผู้ชายที่ทำหมัน แล้วสามารถทำ IUI ได้หรือไม่

ตอบ: ผู้ชายที่ทำหมันแล้ว ไม่สามารถทำ IUI ได้ เพราะการทำหมันในเพศชายจะทำให้ท่อนำน้ำอสุจิอุดตัน ฝ่ายหญิงที่ทำหมันแล้วก็ไม่สามารถทำ IUI ได้เช่นกัน เพราะท่อนำไข่จะอุดตันเช่นเดียวกัน จนไม่มีโอกาสที่อสุจิกับไข่จะเข้าไปผสมกันแบบ IUI สำหรับผู้ที่ทำหมันแล้ว ไม่ว่าจะฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง แต่อยากมีลูก แพทย์จะแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วแบบ ICSI และ IVF เท่านั้น

สรุป

การทำ IUI หรือ Intra-Uterine Insemination คือหนึ่งในทางเลือกผสมเทียมสำหรับผู้ที่ประสบปัญหามีบุตรยาก IUI ทำได้โดยการฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง โดยจะฉีดในวันที่รังไข่ของฝ่ายหญิงตกพอดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ แม้ IUI จะเป็นวิธีผสมเทียมที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด แต่ก็มีข้อจำกัดในผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากบางกรณี ที่ไม่สามารถทำ IUI ได้ และแพทย์แนะนำให้เปลี่ยนไปทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF และ ICSI แทน

สำหรับผู้ที่สงสัยว่าตนเองและคู่มีภาวะการมีบุตรยาก เคยทำ IUI มาแล้วหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่ตั้งครรภ์ ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและตรวจสอบหาสาเหตุในการมีบุตรยากอย่างละเอียด โดยการตรวจอวัยวะสืบพันธุ์ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เพื่อให้สามารถระบุสาเหตุของการตั้งครรภ์ไม่สำเร็จได้อย่างชัดเจน และเลือกวิธีการผสมเทียมที่เหมาะสมกับคู่ของตนที่สุดได้

สนใจทำ IUI ต้องการวางแผนการมีบุตร รักษาภาวะมีบุตรยาก สามารถติดต่อศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก BDMS Wellness Clinic เพื่อพูดคุยและแก้ไขปัญหาร่วมกันกับแพทย์เฉพาะทางด้านการมีบุตรยา
หรือสามารถทำแบบสอบถามประเมินสุขภาพสำหรับผู้มีบุตรยากได้ที่ : แบบสอบถามเพื่อช่วยวางแผนสำหรับการมีบุตรในอนาคตในรูปแบบเฉพาะบุคคล