ฝากไข่ (Egg Freezing) อีกหนึ่งหนทางสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีบุตร และวางแผนเพื่อการมีบุตรในอนาคต

ฝากไข่คืออะไร

ในปัจจุบันด้วยสภาพแวดล้อมสังคมที่เปลี่ยนไป ผู้หญิงหลายคนเลือกที่จะหันไปให้ความสำคัญกับการทำตามเป้าหมายต่าง ๆ ในชีวิต ให้ความสำคัญกับเรื่องการวางแผนครอบครัวเป็นเรื่องรองลงมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป สภาพความพร้อมของร่างกายของผู้หญิงในการมีบุตรนั้น มีประสิทธิภาพลดลงไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่ ภาวะมีบุตรยาก

แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย จะช่วยคลายปัญหากังวลใจเหล่านี้ไปได้ ด้วยวิธีที่เรียกว่า การฝากไข่ดังนั้นในบทความนี้ โรงพยาบาล Wellnesshealth Club จะขอนำทุกท่านมารู้จักกับการฝากไข่คืออะไร มีข้อดีข้อเสีย และขั้นตอนอย่างไร พร้อมตอบทุกคำถามเกี่ยวกับการฝากไข่ให้ทุกท่านทราบ


ฝากไข่ คืออะไร

ฝากไข่ (Oocyte Cryopreservation หรือ Egg Freezing) คือ หนึ่งในวิธีการที่ช่วยรักษาคุณภาพเซลล์ไข่ของผู้หญิงไว้ได้ เมื่อถึงเวลาในอนาคตที่คุณผู้หญิงที่ฝากไข่ไว้นั้นมีความพร้อมที่ต้องการจะมีบุตร สามารถนำไข่ที่ทำการเก็บเอาไว้ มาใช้สำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตได้ 

ในการเก็บไข่ แพทย์จะทำการดูดเอาไข่สุขภาพดีของผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ออกมาจากรังไข่ และนำไปแช่แข็งไว้ที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส และเมื่อคุณผู้หญิงพร้อมที่จะมีบุตร จะนำไข่ที่เก็บเอาไว้ออกมาเพื่อใช้ปฏิสนธิกับอสุจิของฝ่ายชาย

แต่ในขั้นตอนการเก็บไข่ของผู้หญิง ปริมาณไข่ที่เก็บได้จะแตกต่างกันไปตามแต่สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ขึ้นกับปริมาณไข่ของคุณผู้หญิงท่านนั้นในแต่ละรอบเดือน เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10 – 15 ใบ แต่ในผู้ที่มีปริมาณไข่มากและสุขภาพแข็งแรง อาจเก็บได้มากถึง 20 – 30 ใบ


ทำไมถึงต้องฝากไข่

เป็นที่น่าตกใจที่ว่าไข่ผู้หญิงนั้น เสื่อมคุณภาพลงในทุก ๆ วัน คุณผู้หญิงหลายท่านอาจจะมีความสงสัยว่าแม้ตัวเองอายุยังไม่มาก คุณภาพของไข่นั้นก็เสื่อมลงแล้วหรือ

คำตอบก็คือใช่ เพราะผู้หญิงทุกคนมีเซลล์ไข่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดในจำนวน 1 – 2 ล้านเซลล์ และไม่มีการผลิตขึ้นใหม่อีก ถึงจะเป็นจำนวนที่ดูมาก แต่เซลล์ไข่เองนั้นก็ฝ่อตัวลงตั้งแต่เกิดเช่นกัน ในแต่ละเดือนเซลล์ไข่ของผู้หญิงจะเจริญเติบโตมากถึง 1,000 เซลล์ แต่มีไข่เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้นที่ตกไข่เตรียมรับการปฏิสนธิ ในขณะเซลล์ไข่ที่เหลือจะฝ่อตัวสลายไป


ใครบ้างที่ควรเข้ารับการฝากไข่

แท้จริงแล้วคุณผู้หญิงทุกท่านที่มีแผนในการมีบุตรในอนาคต สามารถเลือกวิธีการฝากไข่เป็นหนึ่งตัวช่วยสำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตได้ เพราะว่าอนาคตนั้นไม่แน่นอน อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ส่งผลให้นำไปสู่ภาวะมีบุตรยากได้ หากเริ่มการเก็บไข่ในตอนนั้นอาจจะไม่ทันเสียแล้ว การฝากไข่ตั้งแต่สุขภาพไข่ของคุณผู้หญิงยังแข็งแรงดีอยู่  อาจจะเป็นหนึ่งในการเตรียมพร้อมที่ดีที่สุด

ดังนั้นผู้หญิงที่ควรเข้ารับการฝากไข่ ได้แก่

  • ผู้ที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบุตร แต่วางแผนจะมีบุตรในอนาคต
  • ผู้ที่ต้องการมีบุตรด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว ICSI IVF ในอนาคต
  • ผู้ที่มีโรคปรจำตัว หรือโรคเรื้อรังบางอย่าง หรือโรคมะเร็ง ที่ต้องรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด หรือการฉายแสง ที่เป็นอันตรายต่อรังไข่
  • ผู้ที่มีปัญหาต้องเข้ารับการผ่าตัดรังไข่ เช่น เป็นซีสต์ มีเนื้องอกที่รังไข่ มีผลทำให้มีจำนวนไข่ลดลงหลังการผ่าตัด
  • ผู้ที่มีปัญหาทางพันธุกรรม ทำให้รังไข่เสื่อมเร็ว หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็ว ในกรณีนี้ควรสังเกตคนในครอบครัว หากแม่หรือพี่สาวเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนเร็ว คุณผู้หญิงเองมีแนวโน้มที่จะมีภาวะรังไข่เสื่อมเร็วได้เช่นกัน
  • ผู้ที่เข้าข่ายภาวะมีบุตรยาก

ทำไมผู้หญิงที่เลือกวางแผนมีลูกควรฝากไข่

การฝากไข่นั้นเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุณผู้หญิงที่ยังไม่พร้อมมีบุตรในเร็ว ๆ นี้ สามารถวางแผนที่จะตั้งครรภ์ในอนาคตได้ เพราะปัจจัยด้านอายุมีผลที่จะทำให้ประสิทธิภาพของไข่ผู้หญิงลดลง เพราะไข่ของผู้หญิงนั้นไม่มีการผลิตขึ้นใหม่ อีกทั้งเซลล์ไข่ก็จะฝ่อตัวลงเรื่อย ๆ

นอกจากนี้โดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ระบบในร่างกายก็จะยิ่งเสื่อมถอยลง ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากขึ้น แล้วถ้าหากว่าเริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง (Menopause) ตั้งแต่อายุช่วง  40 ปีขึ้น รังไข่จะเริ่มหยุดการทำงานลง

ดังนั้นหากฝากไข่ตั้งแต่ในช่วงวัยที่ไข่ยังมีสุขภาพดี ก็จะยิ่งเสริมโอกาสให้กับการตั้งครรภ์ในช่วงที่มีความพร้อมในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่นได้ เช่น ในกรณีที่คุณผู้หญิงมีควมพร้อมในการตั้งครรภ์ในวัย 40 ปีที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ยาก แต่เคยฝากไข่ในช่วงอายุ 30 ปี ขณะที่ไข่ยังมีคุณภาพ และแช่แข็งเก็บไว้ ก็จะช่วงคงคุณภาพของไข่เอาไว้เพื่อนำมาใช้ในการทำเด็กหลอดแก้วในอนาคตได้

แต่หากคุณผู้หญิงท่านใด มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะทำการฝากไข่ได้อยู่ แต่ทั้งนี้ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อที่จะได้รับคำปรึกษาในการเก็บไข่ได้อย่างเหมาะสม

ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาล BDMS Wellness Clinic  เป็นอีกสถานพยาบาลหนึ่งที่พร้อมไปด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านวางแผนการมีบุตร สามารถให้คำแนะนำกับคุณผู้หญิงทุกท่านได้อย่างตรงจุด


การเตรียมตัวก่อนฝากไข่

การเตรียมตัวก่อนฝากไข่

ในการฝากไข่นั้น ไม่ใช่ว่าคุณผู้หญิงท่านใดสนใจก็จะสามารถเริ่มฝากไข่ได้ในทันที จำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน พร้อมทั้งต้องดูแลบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะเข้ารับการเก็บไข่ อีกทั้งสุขภาพที่ดีของคุณผู้หญิงก็จะนำมาซึ่งคุณภาพของไข่ที่ดีอีกด้วย

การเตรียมตัวก่อนเริ่มขั้นตอนการเก็บไข่มีขั้นตอน ดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และโปรตีนสูง เลี่ยงการรับประทานขนมขบเคี้ยวที่มีโซเดียมสูง
  • ไม่ควรรับประทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น เพื่อระบบย่อยอาหาร และการเผาผลาญในร่างกายที่ดี
  • รับประทานวิตามิน อาหารเสริม ได้แก่ Astaxanthin, CO-Q10, Methyl Folate และ Vitamin D หรือ Pregnable F Begin ในขั้นตอนนี้สามารถปรึกษาแพทย์เรื่องการรับประทานวิตามินและอาหารเสริมได้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ฝึกควบคุมและจัดการกับความเครียด เพื่อให้การหลั่งฮอร์โมนในร่างกายเป็นไปอย่างสมดุล
  • การรับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้า อย่างน้อยเป็นเวลา 30 นาทีทุกวัน จะช่วยกระตุ้นวงจรการหลับตื่น (Sleep Cycle) ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้ดียิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตามควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินอาการ และให้คำปรึกษาในการดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรง ก่อนการเริ่มขั้นตอนการเก็บไข่ให้เป็นไปอย่างไม่มีผลข้างเคียง


ขั้นตอนการทำ ฝากไข่ อย่างละเอียด

เมื่อคุณผู้หญิงท่านใดมีความพร้อมที่จะต้องการฝากไข่แล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือการเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมทั้งเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อให้คุณผู้หญิงจะได้เข้ารับการฝากไข่ที่ปลอดภัย และได้ผลมมากที่สุด

ขั้นตอนการฝากไข่มี 6 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  • การตรวจเลือดและฮอร์โมนต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อม (Preparation Part)

ขั้นตอนแรกสุดในการเก็บไข่ หลังจากที่เลือกดูสถานพยาบาลที่ไว้ใจได้แล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ แพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพ พร้อมให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และละเอียดเกี่ยวกับการฝากไข่ แล้วจึงเริ่มวางแผนเกี่ยวกับขั้นตอนการเก็บไข่กับคุณผู้หญิง และตรวจเช็คความพร้อมของร่างกาย เพื่อที่หากร่างกายขาดความพร้อมในด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุก็ตาม จะได้เสริมการบำรุงให้ร่างกายอย่างเต็มที่พร้อมรับการฝากไข่

โดยเริ่มที่หากคุณผู้หญิงประจำเดือนมาวันที่ 2 หรือ 3 ให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อเริ่มกระบวนการตรวจร่างกายต่างๆ ดังนี้

1.1 เจาะเลือดเพื่อหาโรคติดเชื้อ

1.1.1 ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC)

1.1.2 ตรวจกรุ๊ปเลือด (Blood Group)

1.1.3 ตรวจหมู่เลือดอาร์เอช (Rh Group )

1.1.4 ตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี (Anti-HIV)

1.1.5 ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส ด้วยวิธี VDRL

1.1.6 ตรวจหาโรคไวรัสตับอักเสบ (HBsAg)

1.1.7 ตรวจหาไวรัสตับอักเสบซี (Anti HCV)

1.1.8 ตรวจหาโรคหัดเยอรมัน (Rubella IgG)

1.1.9 ตรวจหาโรคธาลัสซีเมีย (Hemoglobin typing)

1.2 ตรวจ LAB ANC (Absolute Neutrophil Count : ANC) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาว

1.3 ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนของรังไข่ ซึ่งจะตรวจทั้ง E2 (Estradiol), LH (Luteinizing 

Hormone), FSH (Follicle Stimulating Hormone), PRL (Prolactin)

1.4 ตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound : TVS)

1.5 ตรวจวัดระดับฮอร์โมนที่บ่งบอกปริมาณสำรองของไข่ที่เหลืออยู่ในรังไข่ (Anti Mullerian Hormones : AMH)

  • การกระตุ้นรังไข่ (Ovarian Stimulation Part)

เมื่อตรวจร่างกายดูความพร้อมภายในมดลูก รังไข่ และตรวจเลือด เพื่อเช็คระดับฮอร์โมนในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ก็จะเริ่มกระบวนการฉีดฮอร์โมนกระตุ้นไข่ โดยบรรจุตัวยากลุ่ม Gonal F, Puregon, Pergoveris และ Follitrope ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นไข่ ซึ่งปริมาณยา และตัวยาในการฉีด แพทย์จะพิจารณาจากอายุและผลตรวจระดับฮอร์โมนของแต่ละบุคคล ในขณะเดียวกันแพทย์จะฉีดยา Orgalutran เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไข่ตกก่อนเวลาร่วมด้วย

ตามปกติแล้วกระบวนการกระตุ้นรังไข่จะฉีดฮอร์โมนในบริเวณหน้าท้อง ในช่วงเวลาเดิมซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาประมาน 10 – 12 วัน ตามแต่การตอบสนองต่อยาของแต่ละคน เพื่อกระตุ้นให้ไข่ของผู้หญิงมีขนาด และจำนวนไข่ที่มากขึ้น

  • ติดตามขนาดไข่

หลังจากการกระตุ้นรังไข่ประมาณ 7 วัน แพทย์จะทำการตรวจติดตามอาการโดยการเจาะเลือดเพื่อดูฮอร์โมน FSH, E2 และ LH อีกครั้ง และตรวจอัลตราซาวด์ติดตามดูการเจริญเติบโตของไข่ (Transvaginal Ultrasound) ต่อฮอร์โมนกระตุ้นไข่ที่ฉีดเข้าไป เพื่อปรับเพิ่ม ลดโดสยาตามความเหมาะสม หากได้ขนาดไข่ใหญ่เหมาะสมตามที่แพทย์ต้องการแล้ว จะทำการฉีดยาเพื่อทำให้ไข่ตก

  • ฉีดยากระตุ้นไข่ให้ตก (Ovulation Induction : OI)

เมื่อได้ไข่ที่มีขนาดใหญ่เหมาะสมตามที่แพทย์ต้องการแล้ว หรืออย่ที่ประมาณ 18 – 20 มิลลิเมตร แพทย์จะทำการฉีดยาเพื่อทำให้ไข่ตก พร้อมสำหรับการเก็บไข่ โดยภายในบรรจุตัวยา hcG, Ovidrel, Diphereline, หรือ Cetrotide ซึ่งตัวยาและปริมาณยาที่ใช้นั้น จะพิจารณาจากอายุ และผลระดับฮอร์โมนตามรายบุคคล

  • การเก็บไข่ (Egg Retrieval)

ก่อนที่จะเริ่มการเก็บไข่นั้น คุณผู้หญิงควรที่จะปฏิบัติตัวให้มีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และด้านจิตใจเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความกังวลใจ และความดันโลหิตสูงก่อนทำการเริ่มหัตถการ อีกทั้งร่างกายแข็งแรงพอที่จะเข้ารับการผ่าตัด

โดยการเตรียมตัวก่อนการเริ่มเก็บไข่ มีดังนี้

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้สดชื่น
  • งดทาสีเล็บ งดแต่งหน้า ห้ามใส่เครื่องประดับและคอนแทคเลนส์ เนื่องจากแพทย์ต้องทำการประเมินสภาวะการได้รับออกซิเจนทางปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า และใบหน้า
  • ก่อนถึงกำหนดเวลาเก็บไข่ ควรงดน้ำ งดอาหารทุกชนิด อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • ในบางรายที่มีจำนวนไข่มาก แนะนำให้ดื่มน้ำไม่เกินวันละ 1 ลิตร และรับประทานโปรตีนเพื่อป้องกันภาวะที่ร่างกายบวมน้ำอันเป็นผลจากการที่รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป

หลังจากฉีดยาให้ไข่ตก ประมาณ 34 – 36 ชั่วโมง แพทย์จะทำการเก็บไข่โดยการใช้การอัลตราซาวด์เพื่อดูตำแหน่งไข่ให้ชัดเจน แล้วจึงค่อยนำเข็มที่ใช้ในการเก็บไข่สอดเข้าไปที่รังไข่ แล้วใช้เข็มดูดเซลล์ไข่ออกมา

การเก็บไข่เป็นการทำหัตถการที่มีการใช้ยาสลบร่วมด้วย โดยขั้นตอนการเก็บไข่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังจากการเก็บไข่ ควรพักฟื้นอยู่ในห้องพักฟื้น 1-2 ชั่วโมง ถึงแม้จะเป็นการผ่าตัดที่ไม่ได้ใหญ่ ไม่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ แต่ก็ควรรอดูอาการเพื่อความปลอดภัย

  • แช่แข็งไข่ (Embryo Freezing)

เมื่อดูดเซลล์ไข่ของคุณผู้หญิงออกมาแล้ว ถูกส่งต่อให้กับนักวิทยาศาสตร์เฉพาะทาง เพื่อนำไปทำการคัดแยกคุณภาพ และผ่านขั้นตอนพิเศษ แล้วจึงนำเอาหลอดแก้วบรรจุเซลล์ไข่ไว้  แล้วนำไปไปแช่แข็งในไนโตรเจนเหลวไว้ที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส และจะนำไข่ออกมาเพื่อใช้ปฏิสนธิกับอสุจิฝ่ายชาย เมื่อผู้ฝากไข่ต้องการตั้งครรภ์


ข้อดีของการฝากไข่

ฝากไข่ข้อดี

แน่นอนอยู่แล้วว่าการฝากไข่นั้นมีวัตถุประสงค์หลัก ๆ ในการทำให้การตั้งครรภ์ของคุณผู้หญิงที่ฝากไข่นั้นมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นได้ มากกว่าวิธีการทางธรรมชาติในกรณีที่คุณผู้หญิงมีปัจจัยด้านอายุที่มากขึ้นเข้ามาเกี่ยวข้อง

นอกจากนี้การตั้งครรภ์ในผู้ที่มีอายุมาก จะมีปัญหาเรื่องคุณภาพของไข่แล้ว การตั้งครรภ์โดยธรรมชาติของผู้หญิงที่มีอายุมาก ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของทั้งตัวคุณแม่ และทารกด้วยเช่นกัน

ดังนั้นการฝากไข่อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตร และลดความเสี่ยงไม่พึ่งประสงค์ได้ ดังนี้

  • การฝากไข่ช่วยลดโอกาสที่เด็กจะเกิดมามีความผิดปกติของโครโมโซม และลดความเสี่ยงที่เด็กจะเกิดมาเป็นดาวน์ซินโดรมได้
  • เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์เมื่ออายุมากขึ้น เพราะยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นจำนวน และคุณภาพของไข่จะลดลงเรื่อยๆ
  • การฝากไข่สามารถฝากได้สูงสุดถึง 10 ปี ทำให้วางแผนการมีลูกได้ด้วยตนเอง เนื่องจากสามารถกำหนดช่วงอายุที่จะตั้งครรภ์ได้

ข้อจำกัดการฝากไข่

ถึงแม้การฝากไข่จะเป็นหนึ่งในวิธีคงคุณภาพของไข่ที่แข็งแรงไว้ได้ และช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรในอนาคตได้อีกด้วย แต่ก็ใช้ว่าผู้หญิงทุกท่านจะสามารถทำการฝากไข่ได้ ด้วยเรื่องของอายุ สภาพร่างกาย หรือ โรคประจำตัว ก็อาจจะเข้ามาเป็นข้อจำกัดหนึ่งของการฝากไข่ได้

  • ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ขึ้นไป ปริมาณ และคุณภาพของไข่ลดลง อาจจะต้องทำการเก็บไข่มากขึ้นกว่าหนึ่งรอบ โดยอายุเฉลี่ยที่เหมาะสมกับการฝากไข่อยู่ที่ประมาณ 30 – 35 ปี แต่หากมีอายุมากกว่านั้น ก็สามารถเก็บได้ แต่เพียงแค่คุณภาพ และปริมาณของไข่จะลดน้อยลง
  • ผู้ที่มีภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัยอันควร หรือผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจจะต้องมีการกระตุ้นไข่ก่อน เพื่อให้ไข่พร้อมโต จึงจะสามารถฝากไข่ได้

นอกจากนี้หลังจากการทำหัตถการ อาจเกิดผลข้างเคียงจากขั้นตอนการเก็บไข่ได้เช่นกัน เป็นอีกเรื่องที่อาจจะต้องคอยสังเกตอาการหลังเข้ารับการฝากไข่เป็นประจำ เพื่อจะได้ดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงที

อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงการฝากไข่ของหลาย ๆ ท่านอาจจะเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย ขั้นตอนการฝากไข่นั้นมีราคาค่อนข้างสูง แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับแล้วนั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับคุณผู้หญิงทุกท่านอย่างแน่แท้


ขั้นตอนการปฏิบัติตัวหลังฝากไข่

เพราะการทำการฝากไข่นั้น มีโอกาสที่คุณผู้หญิงจะสามารถเกิดผลข้างเคียงหลังการทำหัตถการได้ ทำให้หลังทำการเก็บไข่เสร็จ คุณผู้หญิงควรพักฟื้นอย่างน้อย 1 – 2 ชั่วโมงเพื่อสังเกตอาการ แต่หลังจากนั้นก็ควรคอยหมั่นสังเกตและเช็คร่างกายของคุณอยู่เสมอ หากมีอาการข้างเคียงรุนแรงจะได้ทำการรักษาได้อย่างทันที

อาการที่พบได้หลังฝากไข่

โดยอาการข้างเคียงที่พบหลังฝากไข่นั้น อาจจะพบได้บ้างในคุณผู้หญิงบางท่าน แต่คุณผู้หญิงไม่ต้องกังวล หากทุกขั้นตอนอย่างระมัดระวัง และเลือกใช้ตัวยาอย่างเหมาะสม และอยู่ในการควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โอกาสที่จะพบความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์ก็จะลดโอกาสลงไปได้

  • ภายหลังจากตื่น อาจมีอาการคลื่นไส้ได้เล็กน้อย แนะนำให้นอนพักในห้องพักประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงก่อนกลับบ้าน
  • หากมีอาการปวดในบริเวณที่ทำหัตถการ สามารถรับประทานยาแก้ปวดที่จัดไว้ได้
  • ในบางท่านอาจมีอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อย หรือแน่นท้องได้ ซึ่งควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อให้ฉีดยาระงับอาการ
  • รับประทานยา หรือเหน็บยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้เข็มดูดเซลล์ไข่ผู้หญิง เช่น มีเลือดออก การติดเชื้อในช่องท้อง หรือเกิดแผลที่ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ
  • อาจมีอาการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือฮอร์โมน เช่น การใช้ยาฮอร์โมนสังเคราะห์ส่งผลให้รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian hyperstimulation syndrome : OHSS) ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เป็นต้น แต่โอกาสพบนั่นน้อยมาก

วิธีดูแลตนเองหลังจากฝากไข่

หลังเข้ารับการฝากไข่ เพื่อลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ คุณผู้หญิงที่เข้ารับการฝากไข่ควรจะหมั่นสังเกตอาการหลังการผ่าตัด และดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่สม่ำเสมอ รวมถึงรักษาสภาพจิตใจให้สดใสสดชื่นอยู่เสมอ 

วิธีดูแลตนเองหลังจากการเก็บไข่ของคุณผู้หญิงมี ดังนี้

  • ไม่ควรเดินทางกลับบ้านเองตามลำพัง ควรมีผู้ติดตามมาด้วย เพราะหลังจากเข้ารับการผ่าตัดฝากไข่แล้ว อาจจะทำให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย
  • พยายามนอนหลับให้เพียงพอ พักผ่อนให้มากที่สุด และทำจิตใจให้สดชื่น
  • หลังจากฝากไข่หากพบอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง มีเลือดออกจากทางช่องคลอดผิดปกติ ปัสสาวะลำบาก ควรรีบเข้าไปพบแพทย์ทันที ห้ามซื้อยารับประทานเองเป็นอันขาด
  • ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ ออกกำลังกาย ยกของหนัก ในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังการเก็บไข่

อัตราความสำเร็จของการฝากไข่

อัตราความสำเร็จในการฝากไข่นั้น จะมีอัตราความสำเร็จสูงหรือไม่ มีปัจจัยในหลาย ๆ ด้านเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะปัจจัยด้านอายุของผู้ฝาก และคุณภาพของไข่ ณ ช่วงอายุที่ไข่ถูกเก็บมาแช่แข็ง ยิ่งอายุของผู้ฝากน้อย ยิ่งมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงในการเก็บไข่

เพราะหากผู้ฝากมีอายุน้อยกว่า 35 ปี จำนวน และคุณภาพของไข่ผู้หญิงจะมีมาก ทำให้มีโอกาสที่จะคัดเลือกไข่ที่สมบูรณ์ มาทำการปฏิสนธิในอนาคต แต่หากมีอายุมากกว่า 40 ปี จำนวนไข่ และคุณภาพของไข่ที่ทำการเก็บนั้นลดลง ดังนั้นหากอยากให้การฝากไข่เป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ ควรฝากไข่ ขณะ ที่อายุยังน้อย


การฝากไข่ปลอดภัย/มีความเสี่ยงแค่ไหน?

การฝากไข่นั้นอาจจะมีความเสี่ยงจากขั้นตอนระหว่างการทำหัตถการ แต่ว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้น้อยมากน้อย หากทำการเก็บไข่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสถานพยาบาลที่สะอาด ได้มาตรฐาน ความเสี่ยงในการเกิดอันตรายก็จะมีโอกาสเกิดที่น้อยลง

เนื่องจากในขั้นตอนเก็บไข่ มีการใช้อุปกรณ์ดูดไข่ออกมา ทำให้อาจเกิดเลือดออก และติดเชื้อในช่องท้องได้ผ่านทางแผลที่เจาะเข้าไป ดังนั้นผู้เข้ารับการผ่าตัดต้องหมั่นทำความสะอาดแผลให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อลงบไป

รวมถึงการใช้ฮอร์โมนในการกระตุ้นไข่ อาจทำให้รังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป (Ovarian hyperstimulation syndrome : OHSS) ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา เช่น อาการท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เป็นต้น


ค่าใช้จ่าย 

สำหรับค่าใช้จ่ายในการฝากไข่ที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH Hospital) ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 180,000 – 220,000 บาท (รวมราคาค่าแช่แข็งไข่ไม่จำกัดจำนวนไข่แล้ว) สามารถแบ่งชำระทีละก้อน หรือ จ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละครั้งที่เข้ามารับบริการ โดยคิดตามราคาจริงหลังหักส่วนลดต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ราคาค่าใช้ในการฝากไข่จะขึ้นอยู่กับตัวยาที่ใช้กับแต่ละท่าน คุณผู้หญิงที่มีความสนใจ สามารถปรึกษาร่วมกับแพทย์ที่ให้การรักษาก่อน เพื่อประเมินราคาก่อนได้

สามารถดูรายละเอียดราคาเพิ่มเติมได้ที่ : รายละเอียดการทำแพคเกจ ฝากไข่ 

ในกรณีที่ต้องการนำไข่มาใช้ทำเด็กหลอดแก้ว หรือ ICSI เพื่อการตั้งครรภ์ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม : รายละเอียดการทำแพคเกจ ICSI


โอกาสตั้งครรภ์ด้วยไข่ที่ฝากไว้มีมากน้อยแค่ไหน?

โอกาสตั้งครรภ์จากการฝากไข่นั้นจะยิ่งมีสูงมากขึ้น หากคุณผู้หญิงฝากไข่ในช่วงที่สุขภาพแข็งแรง คุณภาพไข่ดี โดยอายุเฉลี่ยที่เหมาะกับการฝากไข่อยู่ที่ประมาณ 20 -30 ปี เพราะเป็นช่วงวัยเจริญพันธุ์ ไข่ของผู้หญิงในวัยนี้ มีอัตราการรรอดของไข่หลังจากละลายอยู่สูงถึง 80% – 90% ทำให้มีปริมาณไข่มีมาก และแข็งแรงสมบูรณ์ 

โอกาสการตั้งครรภ์ด้วยไข่ที่ฝาก หากคิดจากจำนวนไข่ที่ฝากและอายุ ณ ตอนฝากไข่ สรุปออกมาได้ ดังนี้

  • อายุ 30-35 จำนวนไข่ที่ฝากน้อยกว่า 10 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 69% หรือน้อยกว่า
  • จำนวนไข่ที่ฝากมากกว่า 20 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 90% หรือน้อยกว่า
  • อายุ 37 จำนวนไข่ที่ฝากน้อยกว่า 10 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 50% หรือน้อยกว่า
  • จำนวนไข่ที่ฝากมากกว่า 20 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 75% หรือน้อยกว่า
  • อายุ 40 จำนวนไข่ที่ฝากน้อยกว่า 10 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 30% หรือน้อยกว่า
  • จำนวนไข่ที่ฝากมากกว่า 20 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 51% หรือน้อยกว่า
  • อายุ 42 จำนวนไข่ที่ฝากน้อยกว่า 10 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 20% หรือน้อยกว่า
  • จำนวนไข่ที่ฝากมากกว่า 20 ฟอง จะมีโอกาสสำเร็จอยู่ที่ 37% หรือน้อยกว่า
  • จะเห็นได้ว่ายิ่งฝากไข่จำนวนมากเท่าไหร่ และคุณภาพไข่ของคุณผู้หญิงแข็งแรงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสเพิ่มความสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้กับคุณผู้หญิงได้

ฝากไข่ ไว้จะสามารถนำมาใช้ตั้งครรภ์ได้อย่างไรบ้าง

ไข่ที่คุณผู้หญิงฝากไข่ไว้สามารถนำมาใช้ตั้งครรภ์เมื่อพร้อม ได้ด้วยหลากหลายวิธีการแทนการตั้งขั้นธรรมชาติ ทั้งการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และ การทำอิ๊กซี (ICSI)

  • การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF หรือ In Vitro Fertilization) คือ การนำไข่ และอสุจิหลายตัวมาล้อมเซลล์ไข่ ให้อสุจิแย่งกันเข้าไปเจาะเปลือกเซลล์ไข่ จนนำมาสู่การปฏิสนธินอกร่างกาย จากนั้นจึงนำเซลล์ไข่มาเก็บไว้ในเครื่องมือพิเศษสำหรับเลี้ยงตัวอ่อน 3 – 5 วัน ก่อนที่จะนำตัวอ่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการฝังตัว และตั้งครรภ์ต่อไป
  • การทำอิ๊กซี (ICSI หรือ Intracytoplasmic Sperm Injection) มีหลักการคล้ายกับการทำเด็กหลอดแก้ว แต่ต่างกันเพียงแค่ในการทำอิ๊กซี จะนำอสุจิเพียงตัวเดียวที่คัดมาแล้วหนึ่งตัว ฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่ ซึ่งเหมาะกับคุณผู้ชายที่มีเชื้ออสุจิที่ไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถเจาะเข้าไปในเปลือกไข่ไม่ได้

คำถามที่พบบ่อยจากคนไข้

Q: สามารถแช่แข็งไข่ได้นานแค่ไหน?

A: ตามหลักแล้วไข่ของผู้หญิงที่ทำการเก็บไข่ จะสามารถเก็บไว้ได้ตลอดไป เพราะเมื่อแช่แข็งเซลล์ไข่ลงไปในความเย็นติดลบของไนโตรเจนเหลว เซลล์ไข่จะหยุดทำงาน แต่จากการรายงานการศึกษาในปัจจุบัน แพทย์แนะนำให้ใช้เซลล์ไข่ภายใน 5 -10 ปี

Q: ฝากไข่จำเป็นต้องใช้ทะเบียนสมรส หรือไม่

A: ในขั้นตอนก่อนการฝากไข่ไม่จำเป็นใช้ทะเบียนสมรส แต่ถ้าหากต้องการนำไข่ที่ฝากมาใช้เพื่อการตั้งครรภ์นั้นจำเป็นต้องใช้ทะเบียนสมรส เพราะว่าตามกฎหมายกำหนดชัดเจนว่า ในการฝากไข่เพื่อที่จะทำเด็กหลอดแก้ว หรืออิ๊กซี่จะต้องมีทะเบียนสมรส รวมถึงต้องใช้อสุจิจากสามีที่จดทะเบียนสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

Q: ระหว่างกระตุ้นไข่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม

A: แท้จริงแล้วคุณผู้หญิงสามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงกระตุ้นไข่ได้ แต่ควรคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัย ในช่วงของวันตกไข่ เพื่อไม่ให้เกิดการปฏิสนธิขึ้น แล้วจะไม่สามารถเก็บไข่ได้ แต่จะดีกว่าถ้าคุณผู้หญิงงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวันที่ไข่ตก 5 -7 วัน

ในส่วนของคุณผู้ชายก็เช่นกันอาจจะต้องมีการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ 5 – 7 วันก่อนมาเก็บเชื้อประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพของอสุจิลดลง

Q: อายุ 40 ปี ยังฝากไข่ได้ไหม

A: แม้คุณผู้หญิงจะมีอายุ 40 ปีแล้ว ก็ยังสามารถฝากไข่ได้ หากร่างกายยังสามารถผลิตฮอร์โมน และรังไข่ยังสามารถผลิตเซลล์ไข่เองได้ แต่ทั้งนี้ควรเข้าปรึกษากับแพทย์ก่อนเพื่อประเมินร่างกายก่อนการฝากไข่ และรับคำแนะนำในการดูแลร่างกายให้แข็งแรงพร้อมสำหรับการฝากไข่

Q: เริ่มฝากไข่ตอนอายุเท่าไหร่ดี

A: โดยปกติแพทย์จะแนะนำให้มาฝากไข่ในช่วงอายุ 25-35 ปี เพราะเป็นช่วงวัยเจริญพันธ์ ที่มีปริมาณไข่มาก และร่างกายยังแข็งแรงอยู่ พร้อมทั้งคุณภาพไข่ที่ยังมีคุณภาพสูงอยู่ หากอายุมากกว่านี้ก็สามารถฝากได้ แต่ควรมาปรึกษาและประเมินร่างกายกับแพทย์เบื้องต้นก่อน

Q: อัตราความสำเร็จ ของการใช้ไข่ที่แช่แข็งไว้มีสูงแค่ไหน ?

A: อัตราการอยู่รอดของไข่ที่แช่แข็งไว้แล้วละลายออกมาใช้จะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 75 – 80%  แต่ถ้าหากฝากไข่ในวัย 20 – 30 ปี อัตราการรรอดของไข่หลังจากละลายสูงถึง 80 – 90% ในส่วนอัตราการตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับคุณภาพของไข่ที่นำมาฝากไข่ และคุณภาพของตัวอสุจิที่นำมาผสมกันด้วย

Q: เด็กที่เกิดจากไข่ที่แช่แข็ง มีความผิดปกติเพิ่มขึ้นหรือไม่?

A: จากการทดลอง เด็กคนแรกที่เกิดจากไข่ที่แช่แข็งคนแรกของโลก ในปี พ.ศ. 2559 ปัจจุบันแข็งแรงดี เป็นหลักฐานที่ว่าการแช่แข็งไข่มีความปลอดภัย ไม่ได้ทำให้คุณภาพของไข่ลดลง จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกที่คลอดออกมา ไม่เพิ่มความผิดปกติของโครโมโซม หรือความพิการมากขึ้น เทียบกับการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติที่พบเพียง 1 – 2%

หลังจากติดตามและศึกษา ประกอบกับที่มีรายงานจนถึงปัจจุบัน ยังไม่พบความแตกต่างของเด็กที่เกิดจากไข่ที่ผ่านการแช่แข็ง และเด็กที่เกิดจากไข่ที่ไม่ผ่านการแช่แข็ง

Q: หากเคยมีผลเลือดหรือผลฮอร์โมนอยู่แล้ว สามารถส่งให้คุณหมอดูก่อนได้ไหม?

A: หากคนไข้มีผลเลือด หรือฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องแล้ว สามารถส่งเข้ามาให้แพทย์พิจารณาดูก่อนได้ โดยควรเป็นผลเลือดภายใน 3 เดือนก่อนทำการฝากไข่ ซึ่งทางโรงพยาบาลจะเก็บข้อมูลเป็นความลับ และประเมินราคาค่าใช้จ่ายเบื้องต้น แต่เมื่อเริ่มโปรแกรม คุณผู้หญิงจำเป็นจะต้องเจาะเลือดที่โรงพยาบาลใหม่ทั้งหมด เพื่อผลของสุขภาพที่ละเอียดชัดเจน

Q: การใช้ไข่ เมื่อต้องการมีบุตร มีขั้นตอนอย่างไร ใช้เอกสารอะไรบ้าง

A: เมื่อต้องการมีบุตร คู่สมรสสามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้เบื้องต้น เพื่อให้แพทย์ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำ IVF หรือ ICIS รวมถึงขั้นตอน และการเตรียมตัวในการทำหัตถการได้ โดยเอกสารสำคัญที่จำเป็นต้องใช้คือทะเบียนสมรส เพราะใช้ในการยืนยันว่าเจ้าของอสุจิ และเซลล์ไข่เป็นสามี ภรรยาที่ถูกต้องกันตามกฎหมายจริง ๆ

Q: มีสเปิร์มบริจาคไหม

A: ทางโรงพยาบาล BDMS Wellness Clinic   ไม่มีธนาคารสเปิร์มโดยตรง แต่ผู้ที่สนใจสามารถรับบริจาคสเปิร์มสดได้ โดยผู้ที่จะรับบริจาคสเปิร์มต้องมีข้อบ่งชี้ชัดเจน เช่น ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีตัวอสุจิ และต้องพาผู้บริจาคมาตรวจเลือด ตรวจร่างกายด้วย

Q: ราคานี้รวมแช่แข็งไข่ได้ทั้งหมดกี่ปี หากต้องการยืดระยะเวลาแช่แข็งไข่เพิ่ม คิดค่าใช้จ่ายอย่างไร

A:  ราคาค่าฝากไข่นั้น รวมระยะเวลาแช่แข็งไข่ 5 ปี ไม่จำกัดจำนวนไข่ หากคุณผู้หญิงต้องการยืดระยะเวลาแช่แข็งไข่เพิ่ม จะมีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการแช่แข็งไข่ 10,000 บาทต่อปี

Q: แพทย์ประจำแผนกมีกี่คน สามารถเลือกได้ไหม

A: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำแผนกมีทั้งหมด 5 ท่าน คุณผู้หญิงสามารถระบุแพทย์ที่จะเข้ารับการรักษาได้ 

สามารถคลิกดูประวัติและความเชี่ยวชาญของแพทย์ได้ที่นี่ : คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก และส่งเสริมสุขภาพสตรี | BDMS Wellness Clinic


สรุป

การฝากไข่เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยรักษาคุณภาพเซลล์ไข่ของผู้หญิงไว้ได้ เพื่อให้คุณผู้หญิงที่ยังไม่มีความพร้อมในการมีบุตรขณะนี้ สามารถนำไข่ไปใช้สำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตได้ การฝากไข่จึงเป็นวิธีการที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการมีบุตรในอนาคตโดยการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ อิ๊กซี่ เพราะคุณผู้หญิงสามารถเลือกช่วงเวลาที่พร้อมจะตั้งครรภ์ได้ และยังช่วยแก้ปัญหาให้กับคุณผู้หญิงที่เข้าข่ายภาวะมีบุตรยาก รวมไปถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ  สามารถลดความเสี่ยงของบุตรที่เกิดมามีความผิดปกติของโครโมโซมได้อีกด้วย

ผู้ที่สนใจจะเข้ารับการฝากไข่ ควรเข้ารับการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานก่อนเบื้องต้น เพื่อที่แพทย์จะได้ประเมินอาการให้เหมาะสมกับคุณผู้หญิงแต่ละท่าน พร้อมให้รายละเอียด คำแนะนำ วิธีเตรียมตัว และขั้นตอนการรักษาได้อย่างถูกต้อง

ให้การฝากไข่โรงพยาบาล BDMS Wellness Clinic  เป็นส่วนหนึ่งในผู้ช่วยในการวางแผนการมีบุตรในอนาคตสำหรับคุณและคู่สมรส

เพื่อการวางแผนโปรแกรมฝากไข่อย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถติดต่อได้ที่
 Wellnesshealth Club


อ้างอิง

Egg freezing. (2021, April 23). Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/egg-freezing/about/pac-20384556

How Many Frozen Eggs Guarantees Success?. (n.d.). FertilityIQ. https://www.fertilityiq.com/topics/egg-freezing/how-many-frozen-eggs-guarantees-success